Midora5จุดเริ่มต้นสงคราม
เขามองคนแปลกหน้าหลายคนที่เดินนำอยู่นั่นด้วยแววตาที่ครุ่นคิด
เอเบิ้ลเป็นอดีตทหารรับจ้าง ที่รูปร่างค่อนข้างสูงและแข็งแรงกว่าใคร ส่วนกอร์ดอน
และอาเชอร์ รูปประพรรณสัณฐานของพวกเขานั้นเหมือนชาวรัสเซียมากกว่าพวกอเมริกัน แต่ยามที่แต่งกายแบบพื้นๆสวมเสื้อโค้ทตัวเก่าๆผมเผ้ายาวรุงรังหน้าตาก็กลมกลืนกับคนทั่วไปนั่น
ไม่มีใครจะเป็นจุดสนใจได้เลย
ถ้ามองจากสายตาของซาวีน่า
เขาคิดว่าพวกเขาอาจจะเป็นแค่ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำทั่วไป
ทำงานในโรงงานหรือไม่ก็เหมืองแร่ในแถบนอกเขตคาชมาร์นั่น
“หมอนั่นเป็นอดีตซีไอเอ
อาเชอร์ ไรส์ อายุสี่สิบห้า กอร์ดอน เกรสัน
เคยทำงานในโครงการผลิตขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ก่อนจะออกมาด้วยการสังหารหัวหน้าฝ่ายที่พยายามวางงานเขาด้วยการใส่ร้ายเรื่องเจรจาขายอาวุธพวกนั้นให้พวกที่ก่อกบฏในไซบีเรีย”
เขาฟังเสียงเซเรสบอกเล่าเสียงเอื่อยอ่อนท่าทีไม่เดือดร้อนใดๆกับการที่ต้องเดินทางร่วมไปกับคนแปลกหน้าพวกนี้
และเธอเป็นคนเดินรั้งท้ายกับซาวีน่าสองคน
ซาวีน่าไม่ได้เอ่ยปากถามสักคำแต่หญิงสาวกลับเล่าทุกอย่างที่เขาอยากจะรู้
นั่นเพราะในหัวของซาวีน่านั้นเต็มไปด้วยคำถามที่เซเรสได้ยินชัดเจน
“ทิม กอร์ดอนเคยทำงานในหน่วยงานข่าวกรองของนาวิกโยธิน
แต่เกษียณงานเพราะการตายของภรรยาของซีล สไน้ส์ ส่วนเอเบิ้ล รอบสัน
เขาเป็นอดีตสายลับที่สูญเสีย นีล รอยสตีล เพื่อนสนิทของซีล ใช่
พวกเขาเป็นเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว..คิดว่าน่าจะเท่ากับอายุของซิลเวอร์
สไน้ส์..คนนี้ฉันไม่รู้จักหรอกนะ น่าจะเป็นลูกชายของซีล..คิดว่างั้น
ซีลเคยคิดเรื่องของเขาในหัวบ่อยๆ..เขาเสียใจที่ไม่ได้เลี้ยงดูลูกชายเพราะมัวแต่ตามค้นหาคำตอบเกี่ยวกับพวกนักวิจัยที่หายตัวไป
และอีกอย่าง...”
เซเรสหุบปากลงโดยไม่รู้ตัวเธอเหลือบตามองไปยังด้านข้างแวบหนึ่ง
ร่างสูงๆของซีล สไน้ส์เดินคู่กับเอเบิ้ล
รอบสันสายตาคมวาววามสีฟ้าที่ทอแสงบางอย่างนั่นปรายมาที่เธอราวกับรู้ทันความคิดของเซเรส
มันทำให้เธอหยุดชะงักลงเล็กน้อยพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เขาสั่งให้ฉันหุบปาก..”
“หือ?..นี่ตาลุงนั่นรู้ได้ยังไงว่าเธอมีพลังจิต..รู้ความคิดของคนอื่น”
“แหงล่ะ
เป็นเพราะนายไงล่ะซาวีน่า
นายทำให้เราไม่ปลอดภัย..นายทำให้เขารู้ว่าเราอาจเป็นสัตว์ประหลาดที่มาจากนอกโลก..หรือไม่ก็ภัยคุกคามของโลกนี้
ยังอีก..นี่นายยังไม่เข้าใจอะไรอีกล่ะซาวีน่า
คนพวกนี้ฉลาดล้ำลึกกว่าคนปกติบนท้องถนนนั่น..นายก็เห็นแล้วนี่”เซเรสบ่นด้วยความหงุดหงิดกระนั้นก็ตามซาวีน่ากลับทำท่าไม่เข้าใจอยู่ดี
“ยังไงก็ตาม
พวกเขาหยุดเดวิดไม่ได้แน่..ลูเธอร์อาจจะตายหรือไม่ก็
อาจจะถูกปลุกขึ้นมาอีกด้วยฝีมือของเดวิด ฉันกังวลอย่างเดียวเราจะหลุดจากพวก
ลูเธอร์ได้อย่างไร ถ้า..”
“นายหมายถึง..ลูซิเฟอร์กับ..”
“แจ็คเกอร์ไม่ใช่คนที่ฉันหรือเธอหรือคนพวกนี้จะต่อกรได้ง่ายๆ
เซเรส..และเราไม่ได้กลับห้องวิจัยของเดวิดมากี่ปีแล้ว?..ล่าสุดที่ฉันเจอลูเธอร์
มันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนี้..และคิดดูสิว่าลูซิเฟอร์กับแจ็คเกอร์พวกมันจะก้าวไปไกลแค่ไหน?..สารในห้องวิจัยของลูแปง
คงจะล้ำหน้าไปเยอะถึงได้ทำให้เดวิดกล้าหักหลังเราได้ง่ายๆเพียงเพราะต้องการตัวตาลุงนั่นเพียงคนเดียว"
เซเรสสั่นหน้าไปมา
หญิงสาวหยิบแซนด์วิชมากัดกินแทนการตอบโต้
การเดินทางนั้นเริ่มช้าลงเมื่อพวกเขาต้องเข้าไปถึงกลางป่าลึก
กระท่อมหลังเล็กที่แฝงตัวอยู่ในหมู่แมกไม้ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
มันมีสภาพคล้ายกับที่เก็บของมากกว่าเป็นบ้านหรือกระท่อมสำหรับพักแรมยามที่ออกล่าสัตว์มากกว่า
และหิมะหนาที่ขาวโพลนนั่นทำให้เซเรสห่อไหล่เล็กๆของเธออย่างไม่รู้ตัว
เอเบิ้ลสาวเท้าไปใกล้ เขาเลื่อนบางอย่างตรงด้านข้างก่อนจะได้ยินเสียงครืดคราดดังขึ้น
หิมะในด้านบนหลังคานั้นร่วงกราวเปิดประตูออกกว้างทีเดียว
“รถ?..นี่พวกเขามีรถสำหรับเดินป่าด้วยงั้นเหรอ?.นี่ลุง..ตกลงแล้วลุงเป็นใครกันแน่
ทำงานให้หน่วยไหน?..”
ซาวีน่าก้าวยาวๆไปที่ซีล
สไน้ส์ ก่อนจะกวาดสายตามองสภาพรถคันใหญ่ที่เอเบิ้ลและกอร์ดอนเพิ่งดึงผ้าคลุมของมันออกมาได้
ภายในโรงจอดรถแห่งนี้ทำให้เขาตื่นใจขึ้นมานิดๆเมื่อพบว่าทุกอย่างในห้องนี้ช่างเต็มไปด้วยอุปกรณ์หลากหลายสำหรับทำสงคราม
อาร์เชอร์ ไรส์ ดึงกล่องเหล็กมาเปิดฝามันเพื่อเลือกอาวุธหลากหลายใส่กระเป๋าของเขา
“นายคงไม่ต้องใช้มันกระมังไอ้หนู?”
หมอนั่นหันมาถามเขาด้วยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เอ่อ..ผมชอบออโตเมติกกระบอกเล็กๆมันเหมาะมือดีนะลุง”
“เอาสิ
เลือกได้เลยไอ้หนู เอาที่นายชอบ และเธอล่ะ นังหนู”
“เอ่อ..ฉันไม่ชอบพวกอาวุธ..มันน่ากลัวจะตายไป”
“โอเค
เอาที่สบายใจเลยรีบหน่อยล่ะเราต้องออกจากป่าเคียฟรุส นี่ก่อนมืด ขึ้นเหนือไปอีกหลายร้อยไมล์
จากคาชมาร์ไป เราต้องลงเรืออีกและที่นั่นมันคงไม่ง่ายนัก
พวกมันอาจจะรอเราอยู่แล้วก็ได้”
“เราจะพยายามเลี่ยงในบริเวณหมู่บ้านใหญ่ๆ
หรือแถบชุมชน”
คำพูดนี้เป็นของเอเบิ้ล
เขากำลังเลือกขดเชือกไนล่อนเพื่อจัดการใส่มันลงไปในเป้ใบหนึ่งที่เตรียมมานัยน์ตาของเขาไม่ปรากฏรอยเคร่งเครียดใดๆสักนิดเดียวยามที่เอ่ยออกมาอย่างนั้น
“กอร์ดอน
นายจัดการเรื่องวิทยุสื่อสารนั่นซะ อย่าให้มีปัญหาได้ล่ะ
หลายชั่วโมงนะกับการเดินทาง”
อาร์เชอร์สั่งเพื่อนของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ซีล สไน้ส์เลื่อนปืนของเขายัดลงซอกเอวก่อนจะหันมาที่ซาวีน่าอีกครั้ง
“นายมีอะไรจะบอกฉันบ้าง?ไอ้หนู?..”
“หือ
ผมจะบอกอะไรลุงได้ล่ะ ลุงรู้อยู่แล้วนี่..”ซีล
ส่งสายตาดุดันให้กับชายหนุ่มจนเขาเบะปากเล็กน้อย
“ขอบคุณที่ลุงช่วยชีวิตผมไว้
และยังให้อาหารเซเรสกินแบบไม่อั้นอีกด้วย” เซเรสถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ
“ฉันไม่ใช่หมานะซาวีน่าจะได้ให้อาหารฉัน”
เขายักไหล่
“ผมไม่มีทางเลือกนี่นา
ตอนนี้เดวิดต้องการสังหารผมกับเซเรส และผมอยากรู้ว่านักวิจัยพวกนั้นหายไปไหน
และถ้าเป็นฝีมือเดวิดจริงๆล่ะก็ เรื่องคงจบไม่สวย รับรองได้เลย
เดวิดไม่ใช่คนปกติ..”
“นายหมายความว่ายังไง?”
“ก็เขามีกองทัพที่มีฝีมือมากมายและอาวุธชีวภาพแบบที่ลุงคงคาดไม่ถึง
อาวุธแบบว่าไม่ได้เป็นเหมือนพวกปืน ระเบิดหรืออาวุธสงครามแบบที่ลุงใช้กันอยู่นี่”
“หึ..”
“ลูเธอร์คนที่ตามล่าผมกับเซเรสนั่นแค่น้ำจิ้ม..ตัวพ่อของเดวิดมีอีกเยอะเลยล่ะ
ผมแน่ใจว่าเดวิดจะส่งพวกมันมาตามหาเราแน่นอน มันอยากได้ลุงคนเดียว..”
“หึ..ฉันมีอะไรให้มันล่ะไอ้หนู
ฉันรู้จักมันแค่ผิวเผิน ผ่านสื่อเท่านั้น
และที่ฉันต้องหาตัวนักวิจัยนั่นเพราะฉันแน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับพวกแซมสันโดยตรง
แต่ฉันไม่รู้เท่านั้นว่าพวกมันต้องการอะไรจากฉัน..”
ซีล
เอ่ยด้วยสีหน้ากระด้างจัดเขาตวัดสายตาใส่ไอ้หนุ่มรุ่นลูกด้วยแววตาติดจะรำคาญเล็กๆ
ซาวีน่าไหวไหล่ของเขาพลางถอนหายใจ ดวงตาของชายหนุ่มนั้นเหม่อลอยชั่วขณะ
“เวรแล้ว..เราต้องรีบเดินทางแล้วซาวีน่า”
“หือ?..พวกมันหาเราเจอ..”เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันพร่ามัวไปสีหน้าปรากฏรอยยุ่งยากขึ้นมาทันที
“มีเวลาเท่าไหร่?..”
“ไม่น่าจะเกินชั่วโมง..ใช่
..มันห่างจากนี่แค่..”
เซเรสพูดไม่ทันจบเมื่อเอเบิ้ลและอาร์เชอร์รวมทั้งกอร์ดอนนั้นจัดกันโยนเป้ของพวกเขาใส่กระบะหลังพลางเปิดประตูเข่าไปสตาร์ทเครื่องยนต์จนมันดังกระหึ่ม
เซเรสถูกใครคนหนึ่งผลักไปนั่งเบาะหลังพร้อมกับซาวีน่าและอีกสองคนที่เหลือนั้นนั่งขนาบข้างซีล
สไน้ส์เลื่อนตัวเองขึ้นประจำเบาะคู่คนขับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อเลื่อนออกจากโรงเก็บนั่น
อย่างรวดเร็ว
เอเบิ้ลไม่ลืมที่จะลงไปปิดมันจนสนิทดีหากแต่ไม่แน่ใจนักว่าจะปกปิดจากสายตาคนของเดวิดได้
“เซเรสสามารถรับรู้การมาของพวกมันระยะไกล..เธอมีเรด้าในสมอง..อย่างนั้นหรือ?”ซีล
สไน้ส์เอ่ยขึ้นพลางเหลือบสายตามองไปที่ด้านหลังแวบหนึ่งเขาส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพคนตัวโตสามคนบดเบียดร่างเล็กของเด็กสาวนั่น
“ทำไมนายไม่ให้เซเรสนั่งตักนายล่ะไอ้หนู”ซาวีน่าเหลือกตาของเขาไปมาก่อนจะยกร่างของเซเรสขึ้นมานั่งบนตักด้วยสภาพจำยอม
ขณะที่เซเรสนั้นยิ้มออกมาได้
“ขอบคุณมากซีล..”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น