Midora4 เดวิด ชาง แซมสัน
ประตูใหญ่ที่ทำจากเหล็กกล้าอย่างหนากั้นระหว่างพื้นที่ด้านในกับด้านนอกไว้สูงกว่ากำแพงตึกสี่ห้าชั้น
มันยิ่งให้ความรู้สึกยิ่งกว่าคุกในคาร์ชมาร์นั่นเสียอีก แต่หลายคนที่กำลังเดินเรียงแถวกันไปตรงหน้าประตูใหญ่นั้นต่างตกอยู่ในความเงียบงันดวงตาหลายคู่นั้นหลุบลงต่ำตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างแท้จริง
ทอดมองพื้นที่เท้าสองข้างนั้นเหยียบย่ำไปทีละก้าวด้วยความรู้สึกที่อับจนหนทางในการหลบหนี
มันเหมือนกำลังเดินสู่เครื่องประหารก็ปานนั้น
“พวกมันจับเรามาทำไม?..”
“มันต้องการอะไรกันแน่?”
“ด็อกเตอร์อัลลิสันเพิ่งโดนโยนลงไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
ผมแน่ใจว่าเราคงไม่รอดถ้าขัดใจมัน”
“พวกมันไม่ใช่คน !
หน่วยงานนี้เป็นของรัฐบาลหรือเปล่า?..ทำไมมีพวกทหารเต็มไปหมด
เราน่าจะหาทางติดต่อกับภายนอก”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นราวกับยังคงมีความหวัง
พวกเขาเคลื่อนตัวไปตามทางที่ยาวไกลนั่นหางตาคอยปรายมองคนที่ถือปืนคุมและเดินตามนั่นหลายครั้ง
เคชา เกรย์กอรี่ นักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอลเดินด้วยหลังที่คุ้มงอลงใบหน้านั้นยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและแววตานั้นยากจะคาดเดาได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรมากกว่ากันระหว่างหวาดกลัวกับมีความหวัง
สายตากวาดมองรอบๆข้างทุกฝีก้าวที่เดินผ่านล้วนแต่ตกอยู่ในห้วงความจำที่แม่นยำราวกับภาพถ่าย
มีชายวัยกลางคนหลายคนเดินอยู่นำหน้าของเขาไปเรื่อยๆท่าทีไม่ได้แตกต่างกันเลย
พวกเขาโดนลักพาตัวมาเช่นกัน ฟื้นขึ้นมาในห้องแคบๆในเครื่องบนลำหนึ่งพร้อมนักบินและคนที่คอยควบคุมด้วยอาวุธสงคราม
หนึ่งในนั้นขัดขืนการทำงานของพวกมันทำให้ต้องถูกจับโยนลงจากเครื่องอย่างโหดร้ายที่สุด
ทำให้ทุกคนนั้นหยุดชะงักจากการต่อต้านปล่อยให้เครื่องบินร่อนลงยังจุดหมายปลายทาง
บนลานกว้างกลางป่าดงดิบที่ไหนสักแห่งที่พวกเขาไม่มีทางรู้
พวกมันทำงานด้วยความเงียบกระแทกปืนใส่หลังคนที่เดินช้าที่สุดสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่เหนื่อยเพลียกับการเดินทางที่แสนจะยาวนานนั่น
มันทั้งทรมานและใช้ยาบางอย่างกับพวกเขา เคชา พยายามไม่ส่งเสียงหรือต่อต้านใดๆ
เขาเอาแต่มองหาทางออกกับสถานการณ์อันเลวร้ายแบบนี้ แต่คงจะยากเต็มที
พวกมันมีกำลังคนเยอะแยะ เมื่อลงจากเครื่องบินลำเลียงนั่นได้
เครื่องสื่อสารไม่มี
มีแค่ปืนที่คอยจ่อที่หัวของพวกเขาสิ่งที่ทำได้ก็คือทำตามคำสั่งเท่านั้น เคชา
เลื่อนตัวเองตามคนข้างหน้าของเขาไปเงียบๆพลางใช้ความคิด คนที่อยู่ข้างหน้าเขานั่นสามคนเป็นชาวออสซี่สองคนและหนึ่งคนนั้นมาจากอเมริกา
พวกเขารู้จักกันบนเครื่องบินลำนั้นหลังจากฟื้นจากสารอะไรสักอย่างที่พวกมันฉีดใส่กับร่างกายนั่น
กับคำถามไม่ได้คำตอบกลับมาสักนิดเดียว
สิ่งที่พวกมันทำก็คือพาคนพวกนี้มายังจุดหมายปลายทาง ที่มีทางเข้าสูงลิบเป็นกำแพงหนาทำจากเหล็กแข็งแกร่ง
ไร้ทางหลบหนี และด้านในนั้นจะเป็นอะไรได้นอกจากคุกสำหรับกักขัง
เคชารู้ว่าพวกที่โดนลักพาตัวมานั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังมีผลงานชิ้นสำคัญแก่ชาวโลกหลายสาขา
แต่...พวกเขากลับหายตัวไปจากครอบครัวโดยไม่ได้รู้ชะตากรรมคนในครอบครัวเลยด้วยซ้ำ
หลายคนหดหู่และสิ้นหวังอีกทั้งยังถูกฆ่าทิ้งอย่างง่ายดายเพียงเพราะเป็นตัวอย่างให้กับคนที่เหลือนั่น
มันได้ผล เพราะพวกเขาเงียบเสียงลงเลิกคร่ำครวญกับโชคร้ายของตนเอง
“เราหวังว่าคุณจะทำตามคำสั่งโดยไม่สร้างปัญหาอะไรอีก
ไม่อย่างนั้นด็อกเตอร์อัลลิสันคงจะบอกคุณแล้วว่าความตายอยู่ใกล้แค่ไหน?..ศาสตราจารย์เบรนดอน
..”ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระด้าง
ก่อนจะเห็นประตูใหญ่เลื่อนออกช้าๆโดยปราศจากเสียงครางครืน
แสดงให้เห็นถึงระบบควบคุมในสถานที่แห่งนี้นั้นเยี่ยมยอดเพียงใด เคชา
เกรย์กอรี่เงยหน้ามองความว่างเปล่าอยู่หลายนาทีก่อนจะถูกผลักหลังให้ก้าวเดินอีกครั้ง
ลานกว้างเป็นพื้นหนาทำจากเหล็กกล้าเช่นกัน
พวกเขาถูกบังคับให้ก้าวเดินไปยืนตรงกลางแค่ไม่นานนักกรอบสี่เหลี่ยมก็เคลื่อนตัวเข้าหากันกักขังพวกเขาไว้ในนั้นและเลื่อนตัวลงสู่พื้นเบื้องล่างช้าๆ
บรรยากาศภายในกล่องใหญ่นี้เย็นชืดจนต้องยกมือโอบกร่างกายของตนเองไว้แน่นเพื่อช่วยผ่อนคลายความเหน็บหนาว
“หวังว่าพวกมันจะไม่ฆ่าเราทิ้ง..”
“นั่นต้องขึ้นอยู่กับว่าเราถูกพามาทำอะไรต่างหากล่ะ
คราวก่อน ด็อกเตอร์
ไอแซคก็หายตัวไปหลังจากที่เขาเพิ่งสร้างเตาปฏิกรณ์ให้กับเกาหลีเหนือเสร็จได้แค่ไม่กี่วัน..ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโดนคนพวกนี้จับมา..”เสียงใครคนหนึ่งพยายามบอกเล่ากับข้อสันนิษฐานของตัวเอง
“ผู้ช่วยของเขาถูกสังหารโดยอาวุธคมกริบในฉับเดียวคอขาดกระเด็น
ภาพจากกล้องวงจรปิดไม่เห็นแม้แต่คนลงมือด้วยซ้ำ
ผมไม่คิดว่าเราจะรอด..แค่อยากรู้ว่าพวกมันต้องการอะไรกันแน่”
เขาบอกเล่าต่ออีกครั้งหากแต่สายตากลับเงยหน้าขึ้นสูงจับจ้องไปยังกล้องวงจรปิดหลายตัวที่แฝงอยู่กับผนังแข็งแกร่งนั่น
พวกเขาสบตากันและหยุดพูดเมื่อเคชา
เกรย์กอรี่นั้นส่งสัญญาณด้วยการส่ายหน้าไปมาช้าๆสุดท้ายแล้วความเงียบก็กลับมาทำงานแข่งกับความเหน็บหนาวอีกครั้ง
ทุกคนรอคอยกับการที่เจ้ากล่องใบใหญ่ ใบนี้จะหยุดลงเมื่อไหร่
มันดูเหมือนกำลังดิ่งลงสู่ใต้ผิวดินลึกลงไปเรื่อยๆจากแค่ไม่กี่เมตร
เพิ่มเป็นสิบ..สิบห้า. ยี่สิบ..สามสิบ..มันหยุดที่ความลึกสามสิบเมตร เคชา
เกรย์กอรี่สบถในลำคอเบาๆเมื่อเขาจับระยะได้ มันเป็นสถานที่ใต้ดินที่อยู่ลึกถึงสามสิบเมตรทีเดียว
พวกเขาคงรอดยากแล้ว...วูบหนึ่งที่ความสิ้นหวังทำงานเต็มที่ชายผู้นี้ได้ทรุดลงกับพื้นกอดเข่าและและปล่อยน้ำตาไหลลงมาเงียบๆ
เขาคิดถึงครอบครัว บุตรสาว
บุตรชายและภรรยา...ความสิ้นหวังทำงานได้ดีเกินไปจริงๆที่ทำให้ทุกคนนั้นทอดสายตามองด้วยความรู้สึกไม่แตกต่างกันเลยสักนิดเดียว
“เอาล่ะ เซเรส
เราต้องคุยกันเสียที”
“ซาวีน่าตอนนี้ฉันหิว ฉันคิดอะไรไม่ออกหรอกนะ”
“ให้ตายสิ! เซเรส
เวลาแบบนี้ยังอยากจะหาแต่ของกินอีกหรือ?”
“ฉันไม่กินไม่ได้ เข้าใจไหมซาวีน่า
นายคงไม่เข้าใจแน่”ร่างสูงใหญ่ของซาวีน่าเดินพลางเหลือบตามองหญิงสาวด้วยความไม่พอใจเขาแวะหยอดตู้กับอาหารสำเร็จรูปได้พาสต้าผักโขมที่เย็นชืดมาสองกล่องเล็กๆ
ยัดใส่มือเซเรสในที่สุดปล่อยให้หญิงสาวจัดการกับอาหารนั่นจนเหลือแค่กล่องเปล่าๆ
พออิ่มท้องเธอก็หายใจแรงออกมาราวกับโล่งอกเสียเต็มประดา
“ซีล สไน้ส์อาจจะรอเราอยู่ที่พิกัดเดิม
แต่เราจะไปช้าสักหน่อย..”
“หมายความว่าไงเซเรส”
“ลูเธอร์กำลังมาที่นี่กับคนของเขามากกว่าสิบ..”
“พลังของลูเธอร์ตอนนี้ แค่ปกป้องตัวเอง ฉันก็อาจจะไม่รอดแล้วจะดูแลเธอได้ยังไงเซเรส
บางทีเราอาจจะแยกกันหนี”
ซาวีน่าเอ่ยพลางขยับตัวด้วยความระมัดระวัง
พวกเขาออกจากถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนเมื่อสิบนาทีที่แล้วหลังจากที่แน่ใจว่าหนีพ้นจากสายตาของพวก
ลูเธอร์ราล์ฟมาได้ แต่บางทีกล้องวงจรปิดพวกนั้นอาจจะยังคงทำงานอยู่บ้างบางตัว
ซาวีน่าแน่ใจว่าเดวิดคงจะควบคุมระบบการเชื่อมต่อของระบบวงจรปิดพวกนั้นไปหมดแล้วทั้งเมืองมอสโก
เขาแน่ใจอย่างนั้น
เซเรส
รีบพยักหน้ารับเธอก้าวเร็วไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนน
ปล่อยให้ซาวีน่านั้นยืนนิ่งมองตามจนร่างบางนั้นหายลับไปกับกลุ่มผู้คน
เขาภาวนาให้เซเรสเอาตัวให้รอดระหว่างที่อยู่ห่างกันแบบนี้ แต่ให้ตายสิ...ซาวีน่าไม่สบายใจเลย
เขาไม่เคยทิ้งให้เซเรสไปไหนตามลำพังมาตลอดชีวิต
พวกเขาผูกติดกันจนแทบจะเป็นคู่แฝดก็ไม่ปาน
มันเป็นความเคยชินที่ซาวีน่าจะบอกตัวเองว่าเซเรสคือความรับผิดชอบของเขา
ชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดมากนักเขาต้องรีบเผ่นจากตรงนี้ก่อนที่ลูเธอร์จะมาถึงตัว มันคงยากที่เขาจะจัดการกับเจ้าปีศาจจอมกระหายเลือดอย่าง
ลูเธอร์ได้ง่ายเหมือนก่อนนี้
สกิล การต่อสู้ของหมอนั่นพัฒนาไปไกลเกินไป
ต่อให้เขาใช้พลังไมดอร่าช่วยก็ดูว่าจะเกิดประโยชน์น้อย
การหาทางหลบเลี่ยงเป็นการออมแรงได้ดีกว่า ซาวีน่าเลื่อนแผนที่ขึ้นมาดูอีกครั้ง
ห่างจากนี่ไปอีกสามถึงสี่บล็อกถนน เขาอาจจะเจอซีล สไน้ส์ที่นั่นก็ได้
แต่..ทำยังไงไม่ให้
ลูเธอร์รู้ว่าเขาจะไปที่นั่น..ตึกสูงหลายชั้นรอบๆตกอยู่ในความหนาวเย็นเหมือนทุกวัน
บรรยากาศที่คาชมาร์ไม่ได้แตกต่างจากมอสโกเลยสักนิด มันเย็นเยือกและปราศจากมนุษย์
พวกเขาเดินพลุกพล่านแค่ในบริเวณถนนด้านหน้า
แต่ทางเข้าในตรอกแคบๆพวกนี้กลับเงียบงันราวกับตึกร้างก็ไม่ปาน
ซาวีน่าเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นจากปลายหางตาพบว่าคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งกำลังแบ่งแยกกำลังมาในตรอกนี้สามถึงสี่นาย
หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ซาวีน่าเคยเห็นหน้ามาก่อน
ใช่..คนสนิทของลูเธอร์ มันชื่อ ลูแปง โยฮันท์
ก่อนนั้นมันเคยทำงานในห้องประชุมร่วมกับเลขาส่วนตัวของเดวิด ชาง แซมสัน ชื่อ ก็อต อาเธอร์ ชายหน้าตาดุดันที่ปราศจากรอยยิ้มตลอดยี่สิบปีที่เคยเจอกันนั่น
ลูแปงเคยช่วยงานของก็อต อาเธอร์ในฐานะนักวิจัย
พวกเขาเคยโต้เถียงกันเรื่องการแยกยีนของพืชและสัตว์กับการตีพิมพ์หนังสือแบ่งแยกพันธุกรรมศาสตร์ด้วยวิถีธรรมชาติ
ซาวีน่าจำได้ว่าเขาเคยเสียเงินซื้อมันมาอ่านอีกด้วย แต่ก็นั่นล่ะ
ข้อมูลพวกนั้นเหมือนภาพลวงตา มันไม่ได้ให้อะไรกับนักอ่านสมองกลวงอย่างเขาแน่
สิ่งที่อยู่ในหนังสือนั้นมีแต่บาร์โค้ด
และรหัสลับที่มีแต่พวกไอคิวสูงกว่าร้อยยี่สิบเท่านั้นจะเข้าใจหนังสือพวกนี้
และ..แน่ล่ะบางส่วนมันเป็นแค่สัญลักษณ์เท่านั้น เขาโยนมันทิ้งทันทีที่อ่านจบ เมื่อมองไม่เห็นประโยชน์ใดๆ
และซาวีน่าไม่เข้าใจว่า ลูแปง โยฮันท์จะต้องลงมาตามเขาด้วยตัวเองทำไม?
ในเมื่องานนี้มันควรเป็นของลูเธอร์คนเดียวก็เหลือเฟือแล้ว ในเมื่อ ลูเธอร์มันออกจะเก่งกาจปานนั้น
ชายหนุ่มแนบกายซ่อนอยู่ในผนังตึกลอบสังเกตการณ์ภายนอก
อย่างเงียบๆ เห็น ลูแปง ออกคำสั่งกับสามคนที่เหลือนั่น
“มันอยู่ในนี้แน่!”
เขาอ่านริมฝีปากของมันได้อย่างง่ายดาย
ซาวีน่าขมวดคิ้ว เขากวาดสายตามองหาข้าวของที่ติดตัวเขามานั้นด้วยความไม่เข้าใจ
มือถือถูกโยนทิ้งไปแล้ว กระเป๋าเป้ก็อยู่กับเซเรส
ในนั้นมีแค่อุปกรณ์ไม่กี่ชิ้นที่ไม่ได้ประกอบการใช้งาน
มันคงไม่ได้ถูกฝังชิบติดตามตัวไว้แน่ เขามั่นใจอย่างนั้น
จะมีก็แค่..ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือของตนเองด้วยความเสียดายเมื่อแน่ใจว่ามันต้องเป็นสาเหตุที่เขาสลัด
เจ้าวายร้าย ลูเธอร์ไม่หลุดเสียที มันเป็นนาฬิกาดิจิตอลที่เดวิดเคยให้เป็นของขวัญวันเกิดเขาเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง
ซาวีนาจัดการเหวี่ยงทิ้งไปไกลเท่าที่แรงเหวี่ยงมันจะมีอยู่
นาฬิกาเรือนที่เขาใช้มาตลอดปีนี้หายลับไปกับสายตามันห้ามหายไปยังตึกอีกด้านหนึ่ง
หันมาอีกทีก็ต้องชะงักกับสีหน้าแสยะยิ้มของใครคนหนึ่ง
“คิดว่าง่ายงั้นหรือ ซาวีน่า กลับไปกับเราซะดีๆ
เดวิดต้องการคุณนะ”
“ลูแปง ดีใจที่ได้เจอคุณนะ ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ
ว่าทำไมเดวิดทำแบบนี้กับเรา”
“คุณไม่ทำตามข้อตกลง คุณเจอตัวเขาแล้วนี่...”
“อ้อ..การที่ลูเธอร์พยายามจะสังหารผมกับเซเรสคุณเองก็มีส่วนด้วยงั้นสิ”เขาก้าวถอยหลังไปถึงสองก้าวเมื่อพบว่าข้างกายของลูแปงยามนี้มีชายฉกรรจ์มาเพิ่มอีกสามนาย
พวกมันจ้องมองเขาด้วยแววตาพร้อมจะลงมือ
“นั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะซาวีน่า
ผมแค่ทำตามคำสั่งของเดวิด”
“คุณเป็นทาสเดวิดตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”
“ผมกินเงินเดือนจากแซมสันคอมปานี”มันตอบด้วยท่าทีไม่ยี่หระต่อสายตาเย็นชาจากเขาเลยสักนิด
“ผมเคยได้ยินมาอย่างนั้น ลูแปง โยฮันท์
คุณเคยเป็นนักวิจัยที่ผมชื่นชอบนะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
ซาวีน่าไม่อาจจะพาตัวเองให้อยู่ในวงล้อมของคนพวกนี้ได้
อาวุธปืนในมือพวกมันทำให้เขาทำได้แค่ก้าวถอยหลังพลางตอบโต้ด้วยคำพูดเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น
“เดวิดย้ำเรื่องนี้กับลูเธอร์ก็จริงแต่นั่นยังไม่ดีพอ
เขาควบคุมความโกรธและโทสะที่รุนแรงของตัวเองยังไม่ได้เลยนี่สิ”
“หมายความว่าพวกคุณทำอะไรกับลูเธอร์สินะ
ทำอะไรล่ะแยกยีนเขาหรือว่าตัดแต่งมัน...”
สีหน้าของลูแปงไม่ได้ผิดไปจากที่ซาวีน่าคาดหวังไว้เลย
มันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดวงตาวาววับราวกับชิงชังเขามาสิบชาติอย่างนั้นแหละ
“ฆ่ามัน!!”
เสียงนี้จบลงซาวีน่าซัดคลื่นความร้อนที่สะสมไว้ระหว่างก้าวถอยหนีนั่นออกไปสุดแรงเกิด
สองฝ่ามือปรากฏไฟลุกท่วมเป็นสายพุ่งใส่หน้า ลูแปงอย่างรวดเร็วมันลามเลียมไปทั่วบริเวณท่ามกลางเสียงกราดกระสุนที่พุ่งใส่ร่างของซาวีน่าราวกับห่าฝน
ชายหนุ่มอาศัยแรงที่เขาซัดไฟนรกใส่พวกนั้นเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปยังขอบหน้าต่างด้านบน
โหนตัวหลบลูกกระสุนได้อย่างฉิวเฉียดจากนั้นก็ออกแรงวิ่งกระโจนขึ้นไปอีกชั้น
อีกชั้น และอีกชั้น...รอยยิ้มสาใจปรากฏบนมุมปาก เขาแน่ใจว่า ลูแปงอาจจะต้องทำศัลยกรรมใบหน้าใหม่อีกรอบ
มันคงจะหมดความหล่อเหลาก็คราวนี้ ช่วยไม่ได้ที่มันมันแต่พล่ามน้ำลายนั่น
เสียงปืนดังไล่หลังเขามาติดๆ ซาวีน่าหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เขาเกลียดการหนีสุดๆซาวีน่าพูดกับตัวเองในใจ
เขาไม่มีทางให้เลือกอยู่เลยนี่สิ
ดูเหมือนว่าพวกมันจะต้องการสังหารเขามากกว่าจับเป็น
หรือว่า ลูเธอร์ทำนอกเหนือคำสั่ง? วูบหนึ่งที่ซาวีน่าอดจะตั้งคำถามไม่ได้
เขาผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อยหากแต่ยังคงกวาดสายตาไปรอบๆเมื่อโหนตัวลงมายังพื้นแผ่นดินได้ในอีกสามช่วงตึกที่เขากระโจนข้ามมานั่น
แต่..มันทำให้เขาต้องหรี่สายตาลงช้าๆอีกครั้ง
จิตใจของเขากำลังหงุดหงิดเหลือกำลังเมื่อเห็นอะไรบางอย่างกำลังกระทบกับพื้นดัง
กระแทกจนเกิดเสียงบึก!บึก!บึก! ลูกเหล็กกลมๆที่เต็มไปด้วยหนามยาวแข็งแกร่งกำลังถูกเหวี่ยงเป็นจังหวะโดยชายร่างใหญ่ที่ยืนขวางทางเขาอยู่
เวรแล้ว...ชายหนุ่มสบถในลำคออีกครั้งสบตากระหายเลือดของลูเธอร์
ราล์ฟด้วยความกังวลอยู่ลึกๆ
ลูเธอร์ ราล์ฟมาพร้อมกับอาวุธประจำกายของมัน
ก่อนนั้นเขาเคยเห็นมันใช้ในการฝึกซ้อมมาแล้วในสนามฝึกของเดวิด
ลูเธอร์มันชอบลูกตุ้มเหล็กขนาดเขื่องนี่สุดๆ มันถึงกับพกติดตัวไว้เสมอ
แต่เขาไม่นึกว่ามันจะเอาออกมาใช้ทั้งที่มันมีปืนมากมายในกระเป๋าหลายช่องของกางเกงของมันนั่น
มันแค่เลือกใช้เท่านั้นเอง แต่มันเลือกลูกตุ้มเหล็กที่มีหนามล้อมรอบ
เหวี่ยงมันราวกับพระเจ้าที่กำลังปรารถนาจะลงทัณฑ์เทพผู้ทรยศต่อสวรรค์
“นายมีทางเลือกแค่นี้ ซาวีน่า ตายอย่างทรมาน...”
“หึ..งั้นหรือ? ลูเธอร์
นายคงไม่ลืมว่าเดวิดต้องการฉันมากแค่ไหน?..เขาไม่สนขยะอย่างนายหรอกนะ
นายก็แค่ทาสรับใช้..”